ใบงานที่ 2 สถาปัตยกรรม Architecture
สถาปัตยกรรม (Architecture)
สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง ผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยสิ่งก่อสร้าง อาคาร ที่อยู่อาศัยต่าง ๆ การวางผังเมือง การจัดผังบริเวณการตกแต่งอาคาร การออกแบบก่อสร้าง ซึ่งเป็นงานศิลปะ ที่มีขนาดใหญ่ และเป็นงานศิลปะที่มีอายุยืนยาว
สถาปัตยกรรม เป็นวิธีการจัดสรรบริเวณที่ว่างให้เกิดประโยชน์ใช้สอยตามความต้องการ ที่นำมาเพื่อตอบสนองความต้องการในด้านวัตถุและจิตใจ มีลักษณะเป็นสิ่งก่อสร้างขึ้นอย่างงดงาม สะดวกในการใช้งานและมั่นคงแข็งแรง
คุณค่าของสถาปัตยกรรม ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ดังนี้
1. การจัดสรรบริเวณที่ว่างให้สัมพันธ์กันของส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
2. การจัดรูปทรงทางสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย และสิ่งแวดล้อม
3. การเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกลมกลืน
จุดประสงค์ของการสร้างสถาปัตยกรรม ได้แก่
1. เป็นที่อยู่อาศัย
2. ใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว โดยมุ่งเน้นความสวยงามประกอบการใช้สอยภายในอาคาร เช่น โรงภาพยนตร์ สนามกีฬา
3. เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจหรือสิ่งที่ควรแก่การยกย่อง โดยเน้นความงามอย่างวิจิตรพิสดาร เพื่อตอบสนองอารมณ์และจิตใจ ในด้านความเชื่อความศรัทธาต่อศาสนา
4. เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนที่มีต่อพระมหากษัตริย์ ทั้งเป็นที่อยู่อาศัยและที่พักในการทำพิธีต่าง ๆ
สถาปัตยกรรมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
สถาปัตยกรรมเปิด (Open Architecture) เป็นสิ่งก่อสร้างที่ประชาชนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น อาคารบ้านเรือน โรงแรม โบสถ์ ฯลฯ จึงต้องจัดสภาพต่าง ๆ ให้เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัยของมนุษย์ เช่น แสงสว่าง และการระบายอากาศ
สถาปัตยกรรมปิด (Closing Architecture) เป็นสิ่งก่อสร้างอันเนื่องมาจากความเชื่อถือต่าง ๆ จึงไม่ต้องการให้คนเข้าไปอาศัยอยู่ เช่น สุสาน อนุสาวรีย์ เจดีย์ต่าง ๆ สิ่งก่อสร้างแบบนี้จะประดับประดาให้มีความงามมากน้อยตามความศรัทธาเชื่อถือ สถาปัตยกรรมเป็นงานทัศนศิลป์ที่คงสภาพอยู่ได้นานที่สุด
สถาปัตยกรรมตะวันตก
สถาปัตยกรรมกรีกโบราณ (อังกฤษ: Architecture of ancient Greece) เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่สูญหายไปจากกรีซมาตั้งแต่ปลายสมัยเฮลลาดิค (Helladic period) หรือสมัยไมซีเนียน (ราว 1200 ก่อนคริสต์ศักราช) มาจนกระทั่งราว 700 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวโรมันมีความมั่งคั่งและฟื้นตัวขึ้นจนถึงจุดที่เริ่มมีการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสำหรับสาธารณชนขึ้นได้อีก แต่ในเมื่อสิ่งก่อสร้างของกรีกหลายแห่งในสมัยอาณานิคม (800-600 ก่อนคริสต์ศักราช) สร้างด้วยไม้หรือ อิฐดินเหนียว หรือ ดินเหนียว จึงทำให้ไม่มีที่ใดที่ยังเหลือหรอให้ได้เห็น นอกจากแผนผังบนพื้นอยู่สองสามแห่ง และไม่มีหลักฐานทางลายลักษณ์อักษรที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสมัยแรกหรือคำบรรยายเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ที่ยังคงอยู่
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโดยทั่วไปจะเป็นไม้ ที่ใช้ในการรองรับคานที่รับหลังคา, พลาสเตอร์สำหรับอ่างและอ่างอาบน้ำ, อิฐดิบสำหรับก่อผนังโดยเฉพาะสำหรับบ้านเรือนที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล, หินปูน และ หินอ่อน ในการก่อสร้างเสา, กำแพง หรือตอนบนของเทวสถาน หรือ ตึกที่ทำการสาธารณะ, “เครื่องดินเผาสีหม้อใหม่”[1]ที่ใช้เป็นกระเบื้องปูหลังคาและเครื่องตกแต่ง และโลหะโดยเฉพาะสัมริดที่ใช้ในการตกแต่งรายละเอียด สถาปนิกใช้วัสดุดังกล่าวในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างอย่างง่ายๆ ห้าประเภท: ศาสนสถาน, ที่ทำการราชการ, ที่อยู่อาศัย, ที่เก็บศพ และ สถานที่เพื่อการบันเทิง
สถาปัตยกรรมโรมัน (อังกฤษ: Architecture of ancient Rome) เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมของโรมันโบราณที่ประยุกต์มาจากสถาปัตยกรรมกรีกตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 12 ก่อนคริสต์ศักราชมาเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมของตนเอง ลักษณะสถาปัตยกรรมทั้งสองถือว่าเป็น “สถาปัตยกรรมคลาสสิก”
นอกจากลักษณะสถาปัตยกรรมที่นำมาจากกรีกแล้วโรมันยังรับอิทธิพลเกี่ยวเนื่องเช่นการสร้าง “ห้องทริคลิเนียม” (Triclinium) ในคฤหาสน์โรมันเป็นห้องกินข้าวอย่างเป็นทางการ และจากผู้ที่มีอำนาจมาก่อนหน้านั้น--วัฒนธรรมอีทรัสคัน—โรมันก็นำความรู้ต่างทางสถาปัตยกรรมมาประยุกต์ใช้เช่นการใช้ระบบไฮดรอลิคและการก่อสร้างซุ้มโค้ง
สถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ หรือ สถาปัตยกรรมไบแซนทีน (อังกฤษ: Byzantine architecture) หรือ สถาปัตยกรรมบีเซินทีน คือสถาปัตยกรรมที่เริ่มประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5 ลักษณะอาคารส่วนใหญ่เป็นโดมคลุมบนเนื้อที่กลม สี่เหลี่ยม หรือรูปหลายเหลี่ยม บางครั้งมีการจัดรูปทรงภายนอกเป็นโดมหลายอัน ต่างขนาดกัน ลดหลั่นกันไป โดยส่วนใหญ่ยึดหลักสมดุลชนิด 2 ข้างเท่ากันรอบแกนใดแกนหนึ่ง เช่น โบสถ์เซนต์มาร์ค ที่เวนิส ประเทศอิตาลี
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ (อังกฤษ: Romanesque architecture) เป็นคำที่บรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เริ่มราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ไปจนถึงสมัยสถาปัตยกรรมกอธิคระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12 สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ที่อังกฤษจะเรียกกันว่า “สถาปัตยกรรมนอร์มัน”
ลักษณะเด่นๆของสถาปัตยกรรมยุคนี้คือความเทอะทะ เช่นความหนาของกำแพง ประตูหรือหลังคา/เพดานโค้งประทุน เพดานโค้งประทุนซ้อน การใช้โค้งซุ้มอาร์เคดในระหว่างช่วงเสาหนึ่ง ๆ และในแต่ละชั้นที่ต่างขนาดกัน[1] เสาที่แน่นหนา หอใหญ่หนัก และ การตกแต่งรอบโค้ง (เช่น ซุ้มประตูหรืออาร์เคด (arcade)) ลักษณะตัวอาคารก็จะมีลักษณะเรียบ สมส่วนมองแล้วจะเป็นลักษณะที่ดูขึงขังและง่ายไม่ซับซ้อนเช่นสถาปัตยกรรมกอธิคที่ตามมา สถาปัตยกรรมจะพบทั่วไปในทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็นประเทศใดหรือไม่ว่าจะใช้วัสดุใดในการก่อสร้าง
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์จะพบในการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานและมหาวิหารเป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีบ้างที่ใช้ในการก่อสร้างปราสาทในสมัยนั้น คริสต์ศาสนสถานแบบโรมาเนสก์ยังคงมีหลงเหลืออยู่ และบางแห่งก็ยังใช้เป็นสถานที่สักการะตราบจนทุกวันนี้
สถาปัตยกรรมกอทิก (อังกฤษ: Gothic architecture) เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่รุ่งเรืองในช่วงกลางสมัยกลางถึงปลายสมัยกลาง โดยวิวัฒนาการมาจากสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์และตามด้วยสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา สถาปัตยกรรมกอทิกเกิดขึ้นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึง 16 โดยเริ่มขึ้นในประเทศฝรั่งเศสก่อนที่จะเผยแพร่ไปยังประเทศอังกฤษ และต่อไปยังทวีปยุโรปโดยทั่วไป
สถาปัตยกรรมกอทิกเริ่มขึ้นในฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และรุ่งเรืองต่อมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในระยะแรก สถาปัตยกรรมทรงนี้เรียกกันว่า "แบบฝรั่งเศส" (Opus Francigenum) คำว่า "กอธิค" มาเริ่มใช้กันในตอนปลายยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในทางที่เป็นการหมิ่นลักษณะสถาปัตยกรรม ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมแบบกอธิคที่เป็นที่รู้จักกันดีคือการใช้โค้งแหลม เพดานสัน และ ค้ำยันแบบปีก
สถาปัตยกรรมบาโรก (ภาษาอังกฤษ: Baroque architecture) เป็นคำที่บรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เริ่มราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่ประเทศอิตาลี เป็นสถาปัตยกรรมที่บ่งถึงความหรูหราโอ่อ่าและความมีอำนาจของสถาบันคริสต์ศาสนาและการปกครอง และจะเน้นเรื่องแสง สี เงา และคุณค่าของประติมากรรม
พระราชวังแวร์ซาย สถาปัตยกรรมบาโรกที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ศิลปโรโคโค (อังกฤษ: Rococo) หรือบางครั้งก็เรียกกันว่า "ศิลปแบบหลุยส์ที่ 14" (Louis XIV Style) ศิลปโรโคโคเริ่มพัฒนามาจากศิลปฝรั่งเศส และการตกแต่งภายในเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 ห้องที่ออกแบบแบบโรโคโคจะเป็น เอกภาพ คือทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ไม่ว่าจะเป็นผนัง เฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องประดับ จะออกแบบเพื่อให้กลมกลืนกันอันหนึ่งอันเดียวกันมิใช่จะอิสระต่อกัน คือไม่มีสิ่งใดในห้องนั้นที่นอกแบบออกมา ภายในห้องจะมีเฟอร์นิเจอร์ที่หรูหราและอลังการ รูปปั้นเล็กๆแบบประดิดประดอย ภาพเขียนหรือกระจกก็จะเป็นกรอบลวดลาย และพรมแขวนผนัง ที่ถ้าแยกอะไรออกมาก็จะทำให้ห้องนั้นไม่สมบูรณ์แบบ
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยา หรือ สถาปัตยกรรมเรอเนซองส์ (ภาษาอังกฤษ: Renaissance architecture) เป็นคำที่บรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เริ่มขึ้นเมื่อราวต้นคริสต์ศตวรรษที่15 และรุ่งเรืองไปจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อบางประเทศในทวีปยุโรปหันมาฟื้นฟูความสนใจเกี่ยวกับปรัชญากรีก และ โรมันโบราณ และวัตถุนิยม
สถาปัตยกรรมเรอเนซองส์จะเน้นความมีความสมมาตร (symmetry) ความได้สัดส่วน (proportion) การใช้รูปทรงเรขาคณิต และลักษณะที่ปรากฏในสถาปัตยกรรมคลาสสิก เช่นสถาปัตยกรรมสมัย โรมัน การวางโครงสร้างจะเป็นไปอย่างมีแบบแผนไม่ว่าจะเป็นเสา หรือ คานรับเสา และการใช้ซุ้มโค้งครึ่งวงกลม การใช้โดม มุข (niche) หรือ aedicule ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้เข้ามาแทนที่จะเป็นแบบตรงกันข้ามกับรูปทรงที่ซับซ้อนและไม่เป็นระเบียบ (irregular profile) ที่เป็นที่นิยมของสิ่งก่อสร้างแบบกอธิค
สถาปนิกคนแรกที่เริ่มแบบแผนของสถาปัตยกรรมเรอเนซองส์คือ ฟีลิปโป บรูเนลเลสกีหลังจากนั้นไม่นานลักษณะสถาปัตยกรรมที่ว่านี้ก็แพร่หลายไปทั่วประเทศอิตาลี และต่อไปยังฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ รัสเซีย และประเทศอื่นๆ
สถาปัตยกรรมตะวันออก
งานสถาปัตยกรรมตะวันออก อาจแบ่งออกได้ตามประโยชน์ช่วงใช้ จึงมีทั้งที่อยู่อาศัยและสิ่งก่อสร้างในศาสนา และเนื่องจากประเทศในตะวันออกส่วนใหญ่อยู่ในโซนร้อน มีฝนชุกบ้าง มีอากาศแปรปรวนหนาวร้อนจัดบ้าง หลังคาของอาคารส่วนใหญ่จะมีจั่วสูง ซึ่งแตกต่างกับอินเดีย เพราะแม้ว่าจะเป็นประเทศแม่บทบาททางศิลปะและวัฒนธรรมของเอเซีย แต่ก็มิได้มีสิ่งก่อสร้างเฉพาะ ที่อยู่อาศัยเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้เป็นเพราะอากาศตามปกติของอินเดียออกจะแห้งแล้งและหนาวจัดในบางฤดู ที่อยู่อาศัยจึงสร้างขึ้นเพื่อป้องกันอากาศที่แปรปรวน แต่ประเทศทางตะวันออกไกลมีฝนตกชุก มีอากาศร้อน ที่อยู่อาศัยจึงหลังคาสูง และปลูกอยู่บนเสาสูง
ลักษณะของสถาปัตยกรรมตะวันออกเป็นไปตามฐานะของบุคคลอย่างเห็นได้ชัด เช่น ปราสาทราชวังของกษัตริย์ หรือคฤหาสน์อันโอ่อ่าของคหบดี หรือกระท่อมไม้ไผ่ มุงหญ้าคาของคนในชนบท สิ่งเหล่านี้มิได้เป็นสิ่งแปลกประหลาด เพราะดูจะเหมือนกันทุกแห่งในโลก
วีดีโอพีรามิด
พิจารณาในด้านการศึกษารูปแบบการตกแต่งแล้ว จะเห็นความคิดสร้างสรรค์ตามความเหมาะสมยิ่งขึ้น เช่น ในถิ่นที่มีไม้มากก็จะใช้ไม้หรือในถิ่นที่มหาไม้ได้ยากกว่า ก็จะใช้วัสดุอย่างอื่น การสร้างที่อยู่อาศัยจึงขึ้นกับสิ่งแวดล้อมหลายอย่าง เช่น อุปกรณ์ ดินฟ้าอากาศ และพื้นเพสภาพความเป็นอยู่ของผู้คน
สำหรับศาสนสถาน หรือ สิ่งก่อสร้างในศาสนานั้น แตกต่างกันออกไปจากที่อยู่อาศัย บ้างมีความมุ่งหมายให้เกิดความถาวรมั่นคง มีอายุยืนนาน จึงมักจะก่อสมร้างด้วยหิน หรือ อิฐปูนตามกำลังศรัทธา เช่น ในประเทศอินเดีย สมัยราชวงค์คุปตะ มีการเจาะภูเขาสร้างเป็น “ วิหารถ้ำ ” เช่น ถ้ำอาจันตะ มีอยู่ถึง 20 กว่าถ้ำ แต่ถ้าถ้ำประดิษฐ์สิ่งตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง จนเหนือความสามารถของมนุษย์ในปัจจุบันที่จะทำเช่นนั้นได้ การสร้างศาสนาสถานในลักษณะต่าง ๆ ของประเทศตะวันออก แม้ว่ามีแม่บทคือ อินเดีย แต่ก็ยังสามารถประดิษฐ์ให้เป็นแบบอย่างเฉพาะของแต่ละประเทศได้ นับว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ซึ่งคนสมัยก่อน ๆ ได้ฝากความคิด และฝีมือไว้เป็นอุทาหรณ์
การตกแต่งประดับประดาสิ่งก่อสร้างเฉพาะที่อยู่อาศัยย่อมแตกต่างกับศาสนสถานเพราะ ที่อยู่อาศัยนั้น มุ่งแสดงฐานะความสะดวกสบาย และความสุขของผู้อยู่อาศัยที่เป็นเจ้าของ แต่ศาสนสถานนั้นมุ่งจรรโลงศาสนา ทุ่มเทพลังความคิดและฝีมือเพื่อเสริสร้างความศรัทธาแก่มหาชน อาจทำตามผู้มีอำนาจบงการก็จริงอยู่ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นสถานที่ทำให้เกิดความวิเวกจิตสงบ จึงมีการตกแต่งที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เรื่องราวที่นำมาประกอบกับความเข้าใจในการตกแต่งอาจมีทั้งจิตรกรรมและประติมากรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่เพื่อประโยชน์สุขทางศาสนาร่วมกันของมหาชนทั้งสิ้น
สถาปัตยกรรมจีน
สถาปัตยกรรมอินเดีย
สถาปัตยกรรมไทย
สถาปัตยกรรมตะวันออกกลาง
สถาปัตยกรรมสมัยใหม่
สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ คือสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับลักษณะที่เรียกว่า “สมัยใหม่” ซึ่งมิได้หมายถึงวิวัฒนาการล่าสุดของสถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมสมัยใหม่มิใช่สถาปัตยกรรมร่วมสมัยแต่เป็นคำที่ใช้บรรยายสิ่งก่อสร้างที่มีองค์ประกอบคล้ายคลึงกันตามคำจำกัดความ ซึ่งโดยทั่วไปคือรูปทรงจะเกลี้ยงเกลาและปราศจากการตกแต่ง ลักษณะนี้เริ่มใช้กันเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่โดยทั่วไปแล้วลักษณะเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในปัจจุบันก็ยังสรุปกันไม่ได้และยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น